วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ข้าวกล่อง お弁当 I

ข้าวกล่องวันนี้ ง่ายๆ ปลาทูย่างที่เหลือเมื่อเย็นวันก่อนค่ะ
ข้าวคลุกปลาทู ปลาทูภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า あじ  ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอกนิดหน่อย ใส่ปลาทู แล้วใส่ โชงะ คือ ขิง วันนี้ใช้ขิงสด ขิงอ่อน หั่นเป็นเส้นฝอย แล้วตามด้วย งาดำ และ โชยุ แล้วใส่ข้าวสวยคลุกเคล้ากัน (ใช้น้ำมันธรรมดาก็ได้ แต่ที่ได้ยินได้ฟังมา น้ำมันมะกอกแท้นี่ดีกว่า ดีต่อสุขภาพนะค่ะ)

กับข้าวอีกอย่างหนึ่ง ผัดหัวไชโป๊ะกับไข่ พูดแบบภาษาไทย น่าจะเป็นชื่อนี้
เริ่มจาก
๑. หอมยาวหั่นฝอย (จากสวนที่บ้าน) ผัดกับน้ำมันให้หอม แล้วใส่
๒. โฮชิ ไดก้อง (แช่น้ำให้นิ่ม ที่ญี่ปุ่นนี้เขามีขายแบบแห้งๆหั่นเป็นเส้นแล้ว) กับ แครอท หั่นฝอย ผัด
๓. ใส่ไข่
แล้ว ปรุงรส ด้วย ซีอิ้ว มิริน และ น้ำผึ้งนิดหน่อย

อาหารเคียงอีกอย่างก็คือ ผักที่มีชื่อว่า มิซึนะ อันนี้ หั่นยาวประมาณ ๓ นิ้ว คลุกเกลือนิดหน่อย และก็ใส่ คอมบุฝอยแห้ง ผสมกัน ทำค้างคืนไว้ ตอนเช้าก็ใช้ได้เลย

ที่ยังว่าง ก็เลยใส่ส้ม ตอนนี้ ส้มอร่อยค่ะ

พื้นฐานอาหารอร่อย "ดาชิ"

สวัสดีค่ะ
วันนี้ขอเสนอ วิธีการ ทำน้ำ "ดาชิ" จริงแล้วคุณสามารถหาซื้อ เป็นขวดที่เขาทำไว้แล้ว มีขายตามห้าง(ญี่ปุ่น)ทั่วไป แต่อะไรจะดีไปกว่า ทำเองกับมือ ล่ะคะ
ที่เห็นในรูปข้างต้น นี้มี
๑. เห็ดหอม
๒. คอมบุ (สาหร่ายทะเล ตากแห้ง แข็งๆ ใบใหญ่ยาว)
๓. ปลาแห้ง
แต่ละอย่างมีกลิ่นมีรส ไม่เหมือนกัน แต่ตัวเองนั้นชอบ เอามาผสมกันค่ะ โดยใช้

เห็ดหอม ใช้น้อยหน่อย เพราะว่า กลิ่นแรงไปในความรู้สึกของตัวเอง
ปลาแห้งนั้น เวลาจะใช้งาน ควรเด็ด "หัวและท้องออก" เพราะว่า "ส่วนนี้จะทำให้รสขม"ควรเอาออกค่ะ
คอมบุนั้น แช่นานมากๆ จะมีน้ำเมือก ดังนั้น ควรจะเอาออกก่อนส่วนอื่น

แช่น้ำทิ้งไว้ หลายชั่วโมงหน่อย หากจะให้เร็ว ให้ใช้น้ำอุ่นๆ สักประมาณ ๒๐ องศาแช่ทิ้งไว้ อันนี้ก็จะใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงเดียว

เมื่อน้ำออกสีเหลืองๆ แล้วก็เอาส่วนที่เหลือ ออก เรียกว่า น้ำดาชิ ค่ะ ไว้ประกอบปรุงอาหารจานอร่อยของคุณ โดยไม่ต้องใช้ผงอะไรช่วยชูรส รสชาด ไม่เลื่อน ติดลิ้น มีแคลเซี่ยม ไขมันไม่ไปติดในเส้นเลือด ลองนึกดูสิค่ะ มีแต่ดี

ตัวเองนั้น เอาออก แต่ไม่ได้ทิ้ง หรอกนะคะ
ปลาแห้งนั้น เอาไว้ขยำข้าว ให้ หมาน้อย
เห็ดหอมนั้น ไว้ใช้งานได้อีก เช่นอาจจะใส่ในอาหารจานอื่น เพราะว่านุ่มแล้ว ใช้งานได้เลย
คอมบุ ก็เหมือนกัน นุ่มแล้ว จะหั่นยาว หรือ หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ไว้ประกอบอาหารอื่น ก็อร่อยได้







วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

日本料理 - きんぴら

วันหนึ่งอาจจะได้ ไปทำอาหารญี่ปุ่น หรือ เปิดร้านที่หน้าบ้าน นี่เป็นความฝันอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าหากมีเงินมากๆ หน่อย ก็อยากจะเปิดร้าน อาหาร ราคาถูก อร่อย ดีต่อสุขภาพ และ ก็ได้ช่วยเหลือคนให้มีอาชีพ อย่างเช่น ปลูกผักไร้สารพิษส่งให้ร้านโดยตรง มีคนช่วยงานในร้าน แบบว่า ทุกคน มีความสุขถ้วนหน้า ไม่หวังรวย เข้าเรื่องค่ะ
อาหารจานที่วางอยู่ข้างหน้านี้ เรียกว่า คินพิระ หากจะทำกินที่บ้านเรา ไม่มีผักที่ว่า ก็ใช้ มันฝรั่งหั่นฝอย กับ แครอท หั่นฝอย สองอย่างเท่านั้นก็ได้ค่

ส่วนประกอบค่ะ
๑. ฮิจิกิ คือ สาหร่ายทะเล ชนิดหนึ่ง แก้ความดันสูงได้ดีค่ะ มีขายแบบแห้ง และ สด
๒. โกโบ ส่วนที่ใช้นี้เป็นรากค่ะ รากยาวมากๆ
๓. แครอท ใช้นิดหน่อย พอให้ สีดำของ ฮิจิกิ ได้มีสีสัน (อาหารญี่ปุ่นนี่ เน้นที่อาหารตาด้วยค่ะ)
๔. ชิกุวะ เป็นแท่งกลมๆ ยาวๆ มีรูตรงกลาง ทำมาจากแป้งผสมเนื้อปลา (จะใส่หรือไม่ก็ได้ค่ะ)
๕. น้ำมันงา
๖. โชยุ
๗. มิริน หากไม่มี ก็ เหล้าขาว ผสมน้ำตาล น้ำ ตั้งไฟเพื่อ ไล่แอลกอฮอล์ออก
๘. เหล้า สาเก หรือ เหล้าขาว ที่ แอลกอฮอล์สักประมาณไม่เกิน ๓๐ดีกรี
๙. น้ำตาล
๑๐. น้ำดาชิ (ใช้ปลาแห้งแช่น้ำหลายชั่วโมงหน่อย จะได้น้ำหวานของปลาค่ะ คนญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยพิธีพิถันมากก็ใช้แบบ ที่เป็นผงสังเคราะห์ เรียกว่าผงชูรส ญี่ปุ่น)
๑๑. พริกป่น นิดหน่อย
๑๒. งาขาว

วิธีทำ
๑. แช่ฮิจิกิ แห้ง ให้นุ่ม
๒. ขูดเปลือกนอกที่ไม่สะอาดตาของ "โกโบ" แล้วก็ขูดบางๆ หรือ ใช้มีดเฉียนแบบเหลาดินสอง แช่ในน้ำ กับน้ำส้ม เพื่อ ให้สีไม่ค้ำ และ เปลี่ยนน้ำใหม่ เมื่อสีของน้ำเป็นสีน้ำตาล เปลี่ยนสัก ๑-๒ น้ำ
๓. หั่น แครอท จะแบบยาว หรือ ขวางก็ได้ ขอให้"บางๆ"

เริ่มค่ะ
๑. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันงา ใส่ แครอท , โกโบ , ฮิจิกิ , ชิกุวะ , ผัดพอให้หอม ต่อด้วย
๒. น้ำดาชิ , โชยุ , มิริน , น้ำตาลนิดหน่อย ชิมรส ว่า เค็ม หวาน คนญี่ปุ่นนี่ชอบรส สองรสค่ะ คือเค็ม หวาน (กินกับข้าวอร่อย) ได้ที่แล้ว ราดด้วย เหล้าสาเก นิดหน่อย
อันนี้ คือ จุดสำคัญค่ะ เหล้า นั้นช่วยให้ รสชาดอาหาร มันกลมกลืนกัน

รสชาดได้ที่แล้ว ผัดให้น้ำแห้ง ใส่พริกนิดเดียวนะคะ พอแบบ ประแล่มประแล่ม แล้ว โรยด้วย งาขาว เพื่อให้กลิ่นหอม 完成(かんせい เสร็จแล้วค่ะ)

หมายเหตุ น้ำดาชิ นี้ ทำได้จากหลายอย่างค่ะ
น้ำเห็ดหอม อย่างเดียว
หรือจะผสมกัน อย่างปลาแห้ง และ สาหร่าย คอมบุ
แล้วแต่ละคน จะชอบรสชาติแบบไหน เพราะว่า อย่างเห็ดหอม นี่ใส่มากก็เหม็นค่ะ
ทุกวันนี้ ทำกับข้าว ไม่เคยใส่ผงชูรส จะทั้ง ผงชูรส แบบไหนก็ตาม
ใช้น้ำดาชิ ที่ทำเก็บไว้ในตู้เย็นนี่แหล่ะ
กินอาหารแล้วไม่ติดลิ้น ไม่ป่วยง่ายค่ะ







ชีวิตแต่งงาน ตอน ๒

ถึงคุณที่กำลังจะแต่งงาน และมาใช้ชีวิตในญี่ปุ่น
ก่อนที่คุณจะแต่งงาน คุณควรเริ่ม สร้างเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ นี่เป็นเพียงข้อแนะนำ
อยู่กันเพียง สองคนก่อน คือ แยกไปอยู่ต่างหาก ไม่อยู่รวมกับ พ่อ-แม่ โดยคุณไม่ต้องนึกเลยว่า คนไทยเป็นคนใจดี เข้ากันได้ง่าย นั่นเป็นความคิดที่คุณอาจจะต้องคิดหนัก เรื่องแม่ผัว-ลูกสะไภ้ , ลูกสะไภ้-น้องสามี เรื่องพวกนี้ แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังกลัว ขอแยกอยู่ก่อน หากจะเข้ามาอยู่ร่วมกัน ก็ตอนมีลูกแล้ว น่าจะดีกว่า เพราะ
- อาหารการกิน ที่แตกต่างกัน คนเรานั้น เรื่องอาหารถือว่า เป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต เพราะเมื่อคุณทำอาหารที่มีกลิ่น คุณก็ไม่ต้องกังวลใจ ทำแล้วจะกินตรงไหนก็ได้ "ไม่ต้องกลัวสายตา" ที่เห็นคุณเป็นมนุษย์ผิดแปลก หรือ มีคำพูดที่ไม่ถูกใจ เพราะอาหารนั้นจะไม่อร่อยไปในบันดล ความสุขนั้นก็จะละลายไปกับสายตา หรือ เสียงอันไม่พึงปรารถนา อีกอย่างหนึ่งก็คือ วัยต่างกัน อาหารก็ต่างกัน อยากกินไม่เหมือนกัน  
  - การวางตัว 楽ができない แม้แต่จะหายใจ ยังรู้สึกติดขัด อาจจะพูดเกินไป แต่มันเป็นความลำบากใจ ที่คุณจะได้พบ จะนั่ง จะนอน จะเดิน มันรู้สึกว่า ไม่ใช่สถานที่ของตัวเอง
- เวลาทะเลาะกัน ต่างคนต่างสภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู ยิ่งคนละประเทศ ความคิดเห็น ย่อมไม่เหมือนกัน เพราะว่า ประสบการณ์ที่เคยเจอมา มันต่างกัน ทำให้คิดได้ไม่เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาที่ต้องปรับความเข้าใจ บางครั้ง ก็อยากจะมีเสียง "เสียงร้องไห้ เสียงตะโกน เสียงหัวเราะ" ทำได้ยาก ต้องเก็บอารมณ์อย่างนั้นไว้ การที่คนเราไม่ได้แสดงอะไรที่ออกมาตรงๆ ต้องอ้อมไป มันก็เป็นความเครียด โดยที่เราอาจจะไม่รู้สึกแต่ ร่างกาย ใจ เรามันรู้สึกไปก่อน ประสาทที่ ๖ มันไวไปก่อน มันเป็นระเบิดเวลาที่รอการระเบิด
- ความไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อจะออกไปไหน มาไหน ต้องบอกกล่าว ต้องเป็นห่วง เป็นกังวล คนเราเวลาที่เราออกนอกบ้าน บางครั้งมันก็เพลินไป อยากไปต่ออีกนิด มันก็ทำให้ไม่สนุกเลย
ไม่ใช่เรื่องของการออกนอกบ้านอย่างเดียว แต่เรื่องของเงื่อนไข อื่นๆ ที่ต้องทำตาม จนไม่สามารถ do my place ได้นั้น มันเป็นเรื่องอึดอัดใจมากไม่น้อย
- การออกไปทำงานนอกบ้าน คงจะมีน้อยนัก ที่หญิงไทย อยากจะให้สามีเลี้ยง เราอยากมีรายได้เป็นของส่วนตัว อยากใช้จ่ายอะไรโดยไม่ต้องกังวลใจ แต่การไปทำงานนอกบ้านนั้นก็ไม่ง่ายนัก เพราะว่า เนื่องจากเงื่อนไข ต่างๆ ที่เราคนต่างชาติ ไม่สามารถทำได้ อย่างคนญี่ปุ่น อย่างเช่น เรื่องของภาษา นี่ถือว่า เป็นกำแพงสูงพอดูเลย แต่แล้วต้องมาเจอกับกำแพงต่อมาอีก คือ คนในบ้าน ที่เราต้องคอยรับใช้ มาช่วยกำหนดเงื่อนไขเวลาให้เราซ้ำ มันยิ่งยากลำบากกันไปหนัก

วันนี้คงเขียนกันไว้เพียงเท่านี้ก่อน วันหลังมีเวลาต่อ คุณกันใหม่ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

คำพูด ต่อว่า กัน ตอน ๑


สวัสดีค่ะ
ความหมายอีกเชิงของคำว่า อะตะริ มาเอะ atari mae 当たり前
นอกจาก ความหมายในเชิง ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติ (จึงไม่แปลกใจ)
แล้วยังมีความหมายเชิงลบอีกด้วย เป็นคำพูดที่ คิซึ้ย きついในความรู้สึก คือค่อนข้างแรงเสียด้วย ในกรณีที่อารมณ์กำลังเป็นข้อพิพาทกันอยู่ คือ รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว , (ไม่ต้องพูดก็) ควรจะรู้อยู่แล้ว

อะโฮอุ ahou あほう  ( นี่อีนัง บ้า , งี่เง่า)
คำว่า อะโฮอุ นั้นหมายความไปในทางปัญญาอ่อน ความบ้า คนทางแถบคันไซ นิยมใช้กัน ซึ่งแรงกว่า บาก่ะ ในความรู้สึุกเสียอีก แต่ทั้งนี้ต้องดูน้ำเสียด้วยน่ะ หากหยอกล้อกัน เสียงก็เบา หน่อย ด่ากันก็แรงหน่อย
สำหรับคำว่า บะก่ะ นั้น อาจจะมีความหมายในทางดี ก็มีด้วยนะ ต้องดูรูปประโยคน่ะ อย่าไปฟังแต่มีเสียงคำว่า บะก่ะ แล้วไปนึกว่า คนนั้นเขาว่าเราเสียหมด ก็ไม่ใช่น่ะ ต้องระวังเหมือนกัน เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไป
ซ้ำอีกครั้ง อะโฮ้ นั้นก็ คิซึ้ย (แรง)กว่า บะก่ะ แล้ว
คำว่า บะก่ะ ยาโรอุ馬鹿やろう นั้น แรงที่สุดเลย ไอ้ควาย อะไรทำนองนั้นเลย คำนี้จำแม่น เพราะสามีเอง ชอบใช้มากเลย เวลาคนในท้องถนนทำอะไรที่น่าทำให้อันตราย แต่คนที่ได้รับผลจากคำด่านั้น ไม่ใช่เจ้าคนนั้นหรอกน่ะ แต่เป็นคนที่นั่งข้างๆ
ส่วนคำอื่นๆ ที่รุนแรง ก็คิดว่า มีอีกไม่น้อย ซึ่งก็แล้วแต่ละคน จะใช้ต่างกันไปตามสถานการณ์ หรือ ตามการศึกษา ตามพื้นฐานชีวิต
นึกได้อีกคำหนึ่งแล้วค่ะ คนที่บ้านไม่ได้ใช้หรอกนะคะ แต่ว่า จำมาจากที่ไหนสักที่หนึ่งนี่
อย่างเช่นว่า เหม็นกลิ่นโคนสาปควาย พวกบ้านนอก นี่ก็พูดว่า 田舎臭い いなかくさい

村八部 むらはちぶ  อันนี้ ก็ หมาหัวเน่า

หมดแล้วค่ะ นึกไม่ออกแล้วค่ะ ไม่ค่อยได้ใช้หรอกค่ะ แต่ฟังไว้ เผื่อเขาว่าเรา เราจะได้ไม่ยิ้ม ให้เขาสงสาร

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

ข้อควรรู้ ควรระวัง ในชีวิตแต่งงานกับญี่ปุ่น ตอน๑

สวัสดีค่ะ
หลายคนอย่างรู้ว่าแต่งกับต่างชาติ国際結婚(こくさいけっこん)แล้วเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นหญิงญี่ปุ่นแต่งกับต่างชาติ หรือว่า ชายญี่ปุ่นแต่งกับต่างชาติ ก็พูดว่า โคกไซเค็กก้อง
เมื่อคราวก่อนดูทีวี เรื่องโคกไซเค็กก้อง ของคู่ เมียจากเวเนซูเอล่า สามีไปเรียนภาษาที่นั่น คบกันนานทีเดียว และมาขอแต่งงานในโบสถ์ที่ญี่ปุ่น ปรากฏว่าบาทหลวง ไม่อนุญาต (認めないมิโตเมไนอิ) แต่ทั้งสองก็เฝ้าวอนขอ จนวันหนึ่งบาทหลวงก็ยอมจำนนท์ ด้วยให้ทั้งสองสัญญาว่า
๑ ทั้งสองต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน (อันนี้ไม่ต้องต่างชาติหรอก ชาติไหนก็ควร)
๒ ต้องไม่ว่าพ่อ แม่ ของแต่ละฝ่าย
๓ ต้องไม่มีลูกในสามปี
ถามว่าทำไมต้องมีข้อสามหรือ
ลองนึกดูสิ คนเราต่างชาติ ต่างถิ่น ต่างการเลี้ยงดู แน่นอนทุกอย่างมันต้องเกิดความแตกต่าง มันต้องมีขัดแย้ง มีระเบิดในใจ (อย่างนี้ หากพูดว่า เอ็นจอย เดอะ ดิฟาเร้นท์ ละก็ ดูจะสนุกว่าน่ะ)
เรื่องของการอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะโคกไซเค็กก้องนั้น ต้องยอมรับว่า ขอบคุณ ภรรยาเจ้านายเก่า ที่เขาได้ให้ข้อคิดแก่เรา ให้ประสบการณ์ชีวิตเขา ตั้งแต่การอยู่ร่วมกับบรรดาญาติ แม่สามี คือ "ยิ้มไว้"
   ส่วนเรื่องอื่นนั้นก็คือ ให้ฝ่ายญี่ปุ่นคู่ของเรา เป็นคนคิดว่า เมียนั้นเป็นคนที่น่าสงสาร เป็นชีวิตที่สละมา ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้น เธอก็ไม่สามารถวิ่งกลับไปบ้าน ไปหาพ่อ แม่ พี่น้องเธอได้ ดังนั้นจะต้องเห็นใจในเรื่องนี้ด้วย
วันนี้ขอจบไว้เพียงเท่านี้ จริงแล้วมีเรื่องสนุกที่อยากเล่าต่อ คือ เรื่องความผิดพลาดของการใช้ภาษา ขอต่อหน่อยก็แล้วกันนะนะ
เมื่อมาอยู่ที่นี่ภาษาจะได้เรียนจากการฟัง การพูดตามเขา เมื่อแรกๆ สิ่งที่ถามสามี เป็นประจำก็คือว่า 昼飯何を食べましたか?(ひるめし なに を たべましたか) วันนี้กลางวันแดกอะไรมาหรือค่ะ
เป็นอย่างไรเมียต่างด้าว พูดได้เจ็บ แบบฟาดหาง ด้วยแม่ไม้มวยไทย หรือเปล่าค่ะ สามีญี่ปุ่นนี่ ขนหัวลุก ทุกวัน เป็นไงเป็นคุณล่ะ คิดอย่างไร
จนวันหนึ่งสามี เขาคงทนไม่ได้แล้ว เขาจึงบอกว่า นี่คุณ.. ฮิรุเมชิひるめし  นั้นเป็นคำพูดของผู้ชาย
ดังนั้นเวลา ฟังคนในบ้านแล้ว เราเป็นสะไภ้ ห้ามทวนคำตาม
ตกใจ ตัวเองนั้นไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่า เท่าที่เรียนมา เท่าที่เห็นมา นั้น เมชิ อะงัดเตคุดาไซ 召し上がってください  ซึ่งแปลว่า เชิญรับประทาน เมชิ นั้นเป็นคำสุภาพสูงสุด ของคำว่าทาน แต่ขอให้ดูสิ ตัวคันจิมันเป็นคนละตัวกัน 飯、 召し แต่เสียงเดียวกัน ดังนั้นเราเองก็คิดว่า เป็นคำสุภาพ ก็เลยพูดตามเขาไป ถามมันได้ทุกวี่ทุกวัน "แดกอะไรมาค่ะ"
คำหลายคำผู้ชายเขาใช้กัน นั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผู้หญิงจะเอามาพูดนั้นมันเป็นเรื่องไม่สุภาพ (คนญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญกับผู้ชายไม่เบา เห็นไหม)
   よかった! 相手は家の人 だから まだまだ 大丈夫。。。 他人と話したら 大変かもね。。 気をつけてください。ยังดีที่เป็นคนที่บ้าน จึงยังไม่เป็นไร แต่หากเป็นคนอื่นละก็ อาจจะเป็นเรื่อง ควรต้องระวังกันหน่อยนะคะ

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

เรื่องของบ้าน เรื่องภายในฯ



บ้านคนญี่ปุ่น
สวัสดีค่ะเล่าเรื่องเกี่ยวกับบ้านนอกญี่ปุ่น วันนี้ขอนำเสนอเกี่ยวกับบ้านของชาวญี่ปุ่น บ้านในสมัยปัจจุบันเริ่มมีการก่อสร้างแบบใช้วัตถุที่ประหยัดเงิน และประหยัดเนื้อที่กันมาก บ้านสำเร็จรูปจึงเริ่มมีให้เห็นกันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าบ้านจะเป็นบ้านที่ดีนั้นคงต้องใช้เงินสร้างประมาณ 10 ล้านบาท นี่ไม่เกี่ยวกับค่าที่ดินน่ะ(เท่าที่เคยได้ฟังมาเขาบอกว่าบ้านสมัยใหม่นั้น ค่าปลูกสร้าง ประมาณ๓ล้านบาทก็ดีแล้ว) หรือจะซื้อบ้านมือสอง(สิบปีขึ้นไปแล้ว) ก็จะตกประมาณ 3 ล้านขึ้นไป (แล้วแต่ว่าอยู่ที่ไหน แต่ว่าบ้านมือสองนี่คิดแต่ราคาที่ดิน เพราะดีกว่าทุบทิ้ง เพราะต้องเสียค่าทุบ ค่าทิ้งสิ) อย่างไรก็ตามบ้านของชาวญี่ปุ่นนั้นเมื่อสร้างแล้วสมบูรณ์ไม่ต้องมาต่อเติม มีครบทุกอย่าง ไม่เหมือนบ้านจัดสรร เมืองไทย ที่เรียกว่ามีแต่กำแพง มีหลังคาให้ เดินไฟ เดินน้ำเอาไว้ให้ ที่เหลือทำกันเอง อยู่ไปยังไม่ถึงเดือน คุณปลวกก็เริ่มมาเยือน กลับเรื่องบ้านคนญี่ปุ่นสมัยใหม่ก็เป็นทรงยุโรปกันมาก ไม่เหมือนบ้านสมัยก่อนที่ยึดถึงความสมดุลย์ ความมั่นคงระหว่างบนและล่าง เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว ชั้นบนนั้นก็ไม่หนักจนเกินไป เพราะว่าชั้นล่างนั้นฐานใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโยลีการก่อสร้างที่มากขึ้น ทำให้มีอาคารสูงๆ เกิดขึ้น โดยปกติแล้วญี่ปุ่นเป็นเมืองมีหิมะตก (ยกเว้นทางตอนใต้ คือ โอกินาวา ซึ่งไม่เคยมีหิมะตก) ดังนั้นโครงหลังคา หลังคาจึงต้องแข็งแรง ส่วนใหญ่หลังคาจะทำระดับเอียงเพื่อให้หิมะได้ไหลตกลงมาอย่างรวดเร็ว เพราะหากเกิดการทับทมกันมากๆ จนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งอัดแล้ว อันตรายก็เริ่มมากขึ้นคือหลังคาอาจพังลงมาหรือ หิมะแข็งอาจหล่นลงมาทับคนที่ผ่านเส้นทางนั้น เมื่อฤดูหิมะตกเข้ามาถึง คนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งจะได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต เนื่องจากตกจากหลังคา เพราะว่าไปเอาหิมะลง แต่ว่าตัวเองนั้นเกิดลื่นทะไหล หรือมักจะมีป้ายบอกว่า ระวังหิมะหล่น เมื่อเดินไปตามชายคาตามถนน
ห้องอาบน้ำ
บ้านคนญี่ปุ่นนั้น จะมีอ่างอาบน้ำ เพื่อไว้ใส่น้ำร้อน(40℃โดยประมาณ)แช่ตัว เราเรียกว่า โอะฟุโระ นี่เรียกว่าเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่น ที่มีไว้คลายความปวดเมื่อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน และยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเมื่อฤดูหนาวมาเยือน คนญี่ปุ่นเมื่อไหร่ เมื่อไหร่การแช่น้ำร้อน ก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ส่วนบ้านเรานั้นหากให้แช่น้ำร้อนคงจะยิ่งเหนื่อยล้ามากไปใหญ่ อาบน้ำเย็นบ้านเราแล้วชื่นใจ แต่บ้านเราก็มีวิธีคลายเครียด คลายเส้น ด้วยการนวด นวดแผนโบราณนี่แหละ ได้ทั้งความเบาสบายตัว และยังได้คืนความเยาว์วัยอีกด้วย เพราะเลือดลมไหลคล่อง ราคาก็ไม่แพง หากจะมานวดในญี่ปุ่นแล้วก็ ชั่วโมงละ ๓๐๐๐ ถึง ๕๐๐๐ เยน กันทีเดียว ดังนั้นเลือกที่จะไปอาบน้ำร้อนใน โองเซน หรือ ในโอฟุโระ ดีกว่า เพราะว่าครั้งละแค่ประมาณ ๓๐๐ ถึง ๘๐๐เยนเท่านั้น ขอเล่าเสริมหน่อยค่ะ โอฟุโระ นั้นน้ำจะร้อนได้ เนื่องจากทำความร้อน ผ่านก๊าซ หรือ น้ำมัน หรือ ไฟฟ้า แต่ โองเซนนั้น น้ำร้อนจะได้มาจากใต้ดิน หรือภูเขาที่ยังมีความร้อนระอุอยู่ภายใน เมื่อมีน้ำไหลผ่านบริเวณนั้น ก็จะร้อน เหมือนบ่อน้ำร้อนบ้านเรา แต่คนญี่ปุ่นนั้นจะวางท่อเพื่อส่งนั้าดังกล่าวมายังบ่อที่ตนสร้าง ซึ่งน้ำร้อนในแต่ละแห่งน้ำไม่เหมือนกัน บ้างอาจจะมีธาตุกำมะธัน บ้างอาจจะส่วนผสมของธาตุเหล็ก หรือ เกลือ ก็แล้วแต่ต่างกันไป ดังนั้น บางแห่งจะบอกไว้เลยว่า ห้ามดื่ม หรือ ดื่มได้แต่ต้องจำกัด สำหรับคนไทยแล้วหากไม่รู้อะไร อ่านไม่ได้ ไม่มีใครบอก ก็ไม่ควรดื่มน้ำในโองเซน
การอาบน้ำในบ้านญี่ปุ่น
โดยปกติแล้วเมื่อมีแขกมาเยือน แขกจะได้รับเชิญให้อาบน้ำเป็นคนแรก เมื่อเข้าไปในห้องน้ำชำระล้างร่างกายแล้ว ก็แช่น้ำในอ่าง แล้วจะชำระล้างร่างกายอีกครั้งคือไม่ก็แล้วแต่ แต่ห้ามปล่อยน้ำทิ้ง (ที่เขียนเพราะว่าผู้เขียนเคยแล้ว สมัยมายังเป็นแฟนกัน มาเที่ยวบ้านเขา แล้วปล่อยน้ำทิ้งเสียหมด) เพราะว่าคนต่อมาจะได้ไว้แช่อีก (และยังใช้สำหรับซักผ้า ปัจจุบันเครื่องซักผ้าจะมีปั้มน้ำไว้สูบน้ำในโอะฟุโระมาใช้) สำหรับในชีวิตประจำวันแล้ว คุณแม่บ้านจะเป็นผู้อาบคนสุดท้าย เพราะว่าจะได้ดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ก่อนเข้านอน การเป็นแม่บ้านชาวญี่ปุ่นนั้น จึงมีความสำคัญต่อบ้านมาก เพราะว่า บ้านญี่ปุ่นนั้นราคาไม่ใช่ถูกๆ เรียกว่าต้องผ่อนกันทั้งชีวิตเหมือนกัน ดังนั้นหากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาเข้าก็จะเป็นที่ลำบากกันทั้งครอบครัว รวมถึงเรื่องการเงินด้วย เพราะว่าปกติแล้วคนญี่ปุ่นไม่ชอบการเป็นหนี้ มีรายได้เท่าไหร่ ต้องคำนวญค่าใช้จ่ายให้เพียงพอ ต่างกับคนรุ่นใหม่ ที่มีการ์ดเงินสด บัตรเครดิตเข้ามา ทำให้เกิดปัญหาภาระหนี้สินกันมากขึ้น ดังนั้นใครคิดว่าจะแต่งงานกับคนญี่ปุ่น ก็อย่าลืมตรวจสอบเรื่องนี้กันด้วยล่ะ เดี๋ยวจะมาเสียใจ หรือเหนื่อยกับการทำงานช่วยกันใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
อาหารการกิน
กินอะไรต้องได้รสนั้น คนญี่ปุ่นต้องการรับรสธรรมชาติของอาหาร ดังนั้นอาหารญี่ปุ่นจึงไม่ต้องปรุงรสกันมาก อาหารดิบ อาหารสดจึงมีให้เห็น ให้กินมากมาย แต่ด้วยปัจจุบันการเร่งรีบ และมีฤดูกาลต่างๆ ทำให้ญี่ปุ่นมีอาหารการกินที่ต่างกันไปในแต่ฤดู จึงทำให้มีอาหารแช่แข็งออกมาจำหน่ายกันมากขึ้น คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่เริ่มคุ้นเคยกับ อาหารแช่แข็ง ไมโครเวฟ อย่างไรก็ตามกินอาหารตามฤดูเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ญี่ปุ่นโดยปกติแล้วเป็นเมืองหนาว การกินอาหารที่เผ็ดร้อนแบบบ้านเราจึงไม่ค่อยดี เพราะว่าความเผ็ดร้อนนั้นได้ระบายความร้อน ออกจากร่างกายจึงทำให้ร่างกายนั้นเย็นลง ทำให้เจ็บป่วยกันได้ง่าย จึงต้องควรระวัง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผัก ผลไม้เมืองร้อน ก็มีจำหน่ายมากขึ้น แต่ด้วยธรรมชาติที่ไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้คุณเจ็บป่วยได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น มะม่วงเป็นพืชเมืองร้อน มีคุณสมบัติให้ความเย็นแก่ร่างกาย เมื่อทานในฤดูหนาวก็ทำให้ลำไส้เย็น เป็นเหตุทำให้ปวดท้องได้ (ผู้เขียนก็เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน) โดยปกติเขากินอะไรกันหรือ เขาก็กินปลาดิบ กุ้ง หอย ดิบ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นอาหารทะเล เพราะว่าประเทศเขาห้อมล้อมด้วยทะเล กินปลาจากแม่น้ำ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็น นิ่ง ต้ม ย่าง ไม่มีแกงแบบบ้านเรา รสส่วนใหญ่ก็จะมาจาก โชยุ (ซีอิ้วญี่ปุ่น ทำมาจากถั่วเหลืองหมัก) เป็นส่วนใหญ่
เพื่อนบ้าน
ญี่ปุ่นนั้น นอกจากจะเป็นประเทศที่โดดเีดี่ยว ประเทศเพื่อนบ้านนั้นก็อยู่ไกลโพ้นทะเล จึงทำให้คนญี่ปุ่นมีลักษณะพิเศษ คือไม่ชอบสุงสิง จะอยู่แบบบ้านใครบ้านมัน แต่ก็คอยฟังข่าวเพื่อนบ้านเหมือนกัน มีนินทา มีกระซิบกระซาบกันบ้าง โดยเฉพาะพวกแม่บ้านนี่แหละ มีการไปมาหากันบ้างแบบผิวเผิน ไม่ค่อยเข้ามาในบ้าน เชิญก็ไม่เข้ามานั่งในบ้าน ได้แต่คุยอยู่แถวประตู แต่ยังคงมีน้ำใจซึ่งกันและกัน มีอะไรมากมายเกินความจำเป็น ก็ถามไถ่หากใครต้องการก็จะเอามาให้ เพราะว่าเกรงใจกลัวเอาภาระขยะไปให้เขา (เนื่องจากญีปุ่นนั้นมีการแยกขยะ และจะต้องไปทิ้งในสถานที่ และวันที่่เขากำหนด บางท้องถี่เขาสามารถเผาขยะเองได้ แต่ก็มีน้อย)
คนต่างชาติในสายตาคนญี่ปุ่นในบ้านนอก
ถ้าเข้าไปในเมือง คนญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยจะสนใจคนต่างชาติมากนัก เพราะเริ่มชินในความรู้สึกเนื่องจากพบเจอบ่อยก็เป็นได้ แต่ในบ้านนอกนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ก็เป็นที่สนใจเสียหมด แต่ก็มีบางคนที่ประเภทใจแคบ คอยดูถูกในสายตา เหมือนเรามาเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากพวกเขาเสียอย่างนั้น (คนแถบเอเชียหลายประเทศ รวมทั้งไทย มาทำอาชีพคนกลางคืนเสียมาก ดังนั้น ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่ตาสีดำ ผมสีดำ ผิวสีดำ จึงถูกดูถูกทั้งในสายตา และในใจ) ดังนั้นเรื่องนี้มันก็เลยต้องทำใจ ทำใจเราให้สงบ เสียให้มากกว่าจึงจะดี มีประโยชน์ต่อตน สำหรับคนไทยในญี่ปุ่นแล้ว ค่อนข้างห่างเหินกันเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม หรือ อาจจะบอกว่า ไปโรมัน ก็ต้องเป็นชาวโรมัน เวลาออกไปข้างนอกคนที่จะคอยส่งยิ้มให้เรา หรือไม่เราก็ส่งยิ้มไป เป็นคนฟิลิปปินส์เสียทุกที น่าเสียดายนิสัยน่ารัก น่ารักของคนไทยจังเลย ดังนั้นเมื่อคุณเป็นคนหนึ่งที่มาที่นี่ อย่าลืมยิ้มสยาม ก็แล้วกัน

แนะนำ นางาโนะ










เที่ยวด้วยกัน ขอพาเที่ยวในจังหวัดนางาโนะ ค่ะ
นางาโนะ Nagano
เป็นจังหวัดที่ได้รับความรู้จักและเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเมื่อครั้งเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิคเกมส์ฤดูหนาวในปี 1998 และพาราลิมปิคเกมส์ ถนนหนทางต่างๆก็ได้รับการพัฒนาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา เมืองจึงเป็นที่ราบสูง มีอุณหภูมิหนาวแทบจะตลอดปี เป็นเสมือนหลังคาญี่ปุ่น ดังนั้นเมื่อถึงฤดูหนาว ที่นี่จึงมีสถานที่ให้ได้เล่นสกีมากมาย นอกจากจะมีฤดูหนาวที่ยาวนานแล้ว ยังมีฤดูใบไม้ผลิ ที่สวยงาม ฤดูร้อนที่ไม่นานนัก ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่สวยงามเมื่อเดินทางไปตามภูเขา และฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามไปอีกแบบ เรียกว่าทั้งปี สามารถเที่ยวได้ นอกจากนี้ยังมีน้ำพุร้อนมากมายให้ได้รับความเพลิดเพลิน ผ่อนคลายและเรียกพลังจากธรรมชาติได้อีกด้วย การเดินทางนั้นจากโตเกียวใช้เวลาเดินประมาณ ๒ ชั่วโมงโดยชินกันเซน
พืชผลที่มีชื่อเสียงคือ องุ่น , แอปเปิ้ล , เกาลัด และ โซบะที่อร่อย (โซบะเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่นที่มีส่วนผสมหลักคือแป้งจากดอกโซบะ เป็นอาหารประจำชาติอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น เชื่อกันว่า โซบะทำให้ชีวิตชาวญี่ปุ่นยืนยาว)

Zenkoji 善光寺เป็นวัดทางพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นเมื่อ ๑๔๐๐ปีที่แล้ว มีเรื่องราวทางศาสนามากมาย เช่นด้านล่างของตัวโบสถ์นั้นเป็นห้องมืดให้ผู้มาเยือนได้ลองสัมผัสกับความมืดและสุดท้ายก็จะพบกับความสว่าง นี่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาเรื่องหนึ่ง คนเขียนคิดว่าอย่างนั้น วัดนี้ คนญี่ปุ่นบอกว่า ในครั้งหนึ่งของชีวิต จะต้องมานมัสการ สักครั้ง
อำเภอMatsumoto 松本城
มีปราสาทมัตซึโมโตะ ที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณ สี่ร้อยปีก่อน ตัวปราสาทหลักนั้นจะไว้สำหรับตรวจตรา เฝ้าระวังข้าศึก ในแต่ละชั้นจะมีช่องเจาะมากมาย มีบันไดที่ชันและซับซ้อน เนื่องจากเมื่อข้าศึกเกิดบุกเข้ามาได้ ก็จะเป็นการยากแก่การบุกถึงตัวเจ้าเมือง อำเภอมัตซึโมโตะนั้นยังเป็นประตูสู่เทือกเขา เอลป์ ที่เลื่องชื่องดงาม เทือกเขาเอลป์นั้นพาดผ่าน สามจังหวัด คือ นางาโนะ โตยามา และ ยะมะนะชิ โดยตัวเขาส่วนใหญ่จะอยู่ในจังหวัดนางาโนะ เรียกว่า คิตะ เอลูปุสึ คือเทือกเขาเอลป์ในตอนเหนือ

เมืองโอบุเสะ 小布施町
สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งไม่ไกลจากตัวเมืองมาก ราวสามสิบนาทีจากตัวจังหวัด เดิมเป็นเมืองคลังสินค้า ทางการเกษตร เมืองเริ่มได้รับการส่งเสริมเป็นเมืองท่องเที่ยวตั้งแต่ปี คศ1603 - 1867 สมัยyedo โดยคุณ Ukiyo-eได้เข้ามาทำการเปิดนิทรรศการนานาชาติของนักวาดภาพชื่อ Katsushika Hokusai เขาคนนี้มีผลงานที่โดดเด่นให้เห็นจนทุกวันนี้คือภาพนกโฟนิกยักษ์ บนเพดานวัด ขนาด กว้าง คูณ ยาว 35 ตารางเมตรที่วัด กันโชอิน ภาพนี้เขียนเมื่อเขาอายุ 89ปี คือในปี1848ก่อนเขาเสียชีวิต1ปี ดังนั้นภาพนี้ จึงมีอายุ 162 ปี (ปีนี้2010) ภาพยังสีสดสวยอยู่เลย
ส่วนภาพอื่นๆ อีกมากมาย เรียกว่า เป็นอัจริยะเลยก็ว่า ได้ โดยเฉพาะภาพคลื่นน้ำ (ชาย - หญิง) ที่ คะนะกะวะ "เขียนภาพนี้ได้อย่างไร มองออกได้อย่างไร ว่าคลื่นน้ำ เม็ดน้ำ จะกระเสน แบบนี้" ปัจจุบัน เขาทำการวิจัยโดย จับภาพ จากกล้องจับความเร็ว ระดับสูงแล้วพบว่า ฮ๊อกสะอิ ซัง นั้นเขียนได้อย่างไม่ผิดจากความเป็นจริง ) หาดูภาพพวกนี้ ได้จาก พิพิธภัณฑ์ ฮ๊อกสะอิ ที่โอบุเสะค่ะ อีกเรื่องที่ ปัจจุบันเมือง โอบุเสะนี้ เลื่องชื่อเรื่องของการปลูกเกาลัด อาหาร ขนม ที่ทำจาก เกาลัด รวมถึงถนนทางเดินในอำเภอจึงทำมาจากลำต้นของต้นเกาลัด ให้เสน่ห์ที่ชวนมองอีกแบบ (แต่ปัจจุบันเริ่มลดน้อยลง เพราะว่าหากหน้าหิมะตก ทางเดินนั้นจะลื่นมาก เขาจึงต้องผสมผสาน กับอิฐ)
หมายเหตุ เมื่อคุณไปเที่ยววัดนี้คุณอาจจะซื้อของที่ระลึกที่เป็นรูปกบ เพราะว่าวัดนี้เป็นแหล่งที่กบจำนวนมากมายมานัดประชุมกันในช่วงวัน เดือนไหน ผู้เขียนก็ลืมไปแล้วค่ะ แต่ว่ากบที่นี่เห็นแล้วน่ากลัว เพราะว่า มันเป็นกบยักษ์ ใหญ่จริงๆ แบบว่า ยำกบ ทอดกระเทียมกบ นี่ไม่อยากกินกันเลยแหละ

และยังมีอีกมากมายให้ท่านที่อยากจะสัมผัสโดยตรงได้มาเที่ยวกัน อย่างเช่นโองเซ้นลิง ที่อำเภอยูดานาคะ Jigokudani yaen koenไปดูลิงอาบน้ำร้อนในหน้าหนาว น่ารักดีค่ะ เสร็จแล้วคุณก็ไปหาที่อาบน้ำแร่ เรียกพลังจากธรรมชาติมาใส่ตัวคุณกันบ้าง