วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

เรื่องของบ้าน เรื่องภายในฯ



บ้านคนญี่ปุ่น
สวัสดีค่ะเล่าเรื่องเกี่ยวกับบ้านนอกญี่ปุ่น วันนี้ขอนำเสนอเกี่ยวกับบ้านของชาวญี่ปุ่น บ้านในสมัยปัจจุบันเริ่มมีการก่อสร้างแบบใช้วัตถุที่ประหยัดเงิน และประหยัดเนื้อที่กันมาก บ้านสำเร็จรูปจึงเริ่มมีให้เห็นกันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าบ้านจะเป็นบ้านที่ดีนั้นคงต้องใช้เงินสร้างประมาณ 10 ล้านบาท นี่ไม่เกี่ยวกับค่าที่ดินน่ะ(เท่าที่เคยได้ฟังมาเขาบอกว่าบ้านสมัยใหม่นั้น ค่าปลูกสร้าง ประมาณ๓ล้านบาทก็ดีแล้ว) หรือจะซื้อบ้านมือสอง(สิบปีขึ้นไปแล้ว) ก็จะตกประมาณ 3 ล้านขึ้นไป (แล้วแต่ว่าอยู่ที่ไหน แต่ว่าบ้านมือสองนี่คิดแต่ราคาที่ดิน เพราะดีกว่าทุบทิ้ง เพราะต้องเสียค่าทุบ ค่าทิ้งสิ) อย่างไรก็ตามบ้านของชาวญี่ปุ่นนั้นเมื่อสร้างแล้วสมบูรณ์ไม่ต้องมาต่อเติม มีครบทุกอย่าง ไม่เหมือนบ้านจัดสรร เมืองไทย ที่เรียกว่ามีแต่กำแพง มีหลังคาให้ เดินไฟ เดินน้ำเอาไว้ให้ ที่เหลือทำกันเอง อยู่ไปยังไม่ถึงเดือน คุณปลวกก็เริ่มมาเยือน กลับเรื่องบ้านคนญี่ปุ่นสมัยใหม่ก็เป็นทรงยุโรปกันมาก ไม่เหมือนบ้านสมัยก่อนที่ยึดถึงความสมดุลย์ ความมั่นคงระหว่างบนและล่าง เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว ชั้นบนนั้นก็ไม่หนักจนเกินไป เพราะว่าชั้นล่างนั้นฐานใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโยลีการก่อสร้างที่มากขึ้น ทำให้มีอาคารสูงๆ เกิดขึ้น โดยปกติแล้วญี่ปุ่นเป็นเมืองมีหิมะตก (ยกเว้นทางตอนใต้ คือ โอกินาวา ซึ่งไม่เคยมีหิมะตก) ดังนั้นโครงหลังคา หลังคาจึงต้องแข็งแรง ส่วนใหญ่หลังคาจะทำระดับเอียงเพื่อให้หิมะได้ไหลตกลงมาอย่างรวดเร็ว เพราะหากเกิดการทับทมกันมากๆ จนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งอัดแล้ว อันตรายก็เริ่มมากขึ้นคือหลังคาอาจพังลงมาหรือ หิมะแข็งอาจหล่นลงมาทับคนที่ผ่านเส้นทางนั้น เมื่อฤดูหิมะตกเข้ามาถึง คนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งจะได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต เนื่องจากตกจากหลังคา เพราะว่าไปเอาหิมะลง แต่ว่าตัวเองนั้นเกิดลื่นทะไหล หรือมักจะมีป้ายบอกว่า ระวังหิมะหล่น เมื่อเดินไปตามชายคาตามถนน
ห้องอาบน้ำ
บ้านคนญี่ปุ่นนั้น จะมีอ่างอาบน้ำ เพื่อไว้ใส่น้ำร้อน(40℃โดยประมาณ)แช่ตัว เราเรียกว่า โอะฟุโระ นี่เรียกว่าเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่น ที่มีไว้คลายความปวดเมื่อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน และยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเมื่อฤดูหนาวมาเยือน คนญี่ปุ่นเมื่อไหร่ เมื่อไหร่การแช่น้ำร้อน ก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ส่วนบ้านเรานั้นหากให้แช่น้ำร้อนคงจะยิ่งเหนื่อยล้ามากไปใหญ่ อาบน้ำเย็นบ้านเราแล้วชื่นใจ แต่บ้านเราก็มีวิธีคลายเครียด คลายเส้น ด้วยการนวด นวดแผนโบราณนี่แหละ ได้ทั้งความเบาสบายตัว และยังได้คืนความเยาว์วัยอีกด้วย เพราะเลือดลมไหลคล่อง ราคาก็ไม่แพง หากจะมานวดในญี่ปุ่นแล้วก็ ชั่วโมงละ ๓๐๐๐ ถึง ๕๐๐๐ เยน กันทีเดียว ดังนั้นเลือกที่จะไปอาบน้ำร้อนใน โองเซน หรือ ในโอฟุโระ ดีกว่า เพราะว่าครั้งละแค่ประมาณ ๓๐๐ ถึง ๘๐๐เยนเท่านั้น ขอเล่าเสริมหน่อยค่ะ โอฟุโระ นั้นน้ำจะร้อนได้ เนื่องจากทำความร้อน ผ่านก๊าซ หรือ น้ำมัน หรือ ไฟฟ้า แต่ โองเซนนั้น น้ำร้อนจะได้มาจากใต้ดิน หรือภูเขาที่ยังมีความร้อนระอุอยู่ภายใน เมื่อมีน้ำไหลผ่านบริเวณนั้น ก็จะร้อน เหมือนบ่อน้ำร้อนบ้านเรา แต่คนญี่ปุ่นนั้นจะวางท่อเพื่อส่งนั้าดังกล่าวมายังบ่อที่ตนสร้าง ซึ่งน้ำร้อนในแต่ละแห่งน้ำไม่เหมือนกัน บ้างอาจจะมีธาตุกำมะธัน บ้างอาจจะส่วนผสมของธาตุเหล็ก หรือ เกลือ ก็แล้วแต่ต่างกันไป ดังนั้น บางแห่งจะบอกไว้เลยว่า ห้ามดื่ม หรือ ดื่มได้แต่ต้องจำกัด สำหรับคนไทยแล้วหากไม่รู้อะไร อ่านไม่ได้ ไม่มีใครบอก ก็ไม่ควรดื่มน้ำในโองเซน
การอาบน้ำในบ้านญี่ปุ่น
โดยปกติแล้วเมื่อมีแขกมาเยือน แขกจะได้รับเชิญให้อาบน้ำเป็นคนแรก เมื่อเข้าไปในห้องน้ำชำระล้างร่างกายแล้ว ก็แช่น้ำในอ่าง แล้วจะชำระล้างร่างกายอีกครั้งคือไม่ก็แล้วแต่ แต่ห้ามปล่อยน้ำทิ้ง (ที่เขียนเพราะว่าผู้เขียนเคยแล้ว สมัยมายังเป็นแฟนกัน มาเที่ยวบ้านเขา แล้วปล่อยน้ำทิ้งเสียหมด) เพราะว่าคนต่อมาจะได้ไว้แช่อีก (และยังใช้สำหรับซักผ้า ปัจจุบันเครื่องซักผ้าจะมีปั้มน้ำไว้สูบน้ำในโอะฟุโระมาใช้) สำหรับในชีวิตประจำวันแล้ว คุณแม่บ้านจะเป็นผู้อาบคนสุดท้าย เพราะว่าจะได้ดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ก่อนเข้านอน การเป็นแม่บ้านชาวญี่ปุ่นนั้น จึงมีความสำคัญต่อบ้านมาก เพราะว่า บ้านญี่ปุ่นนั้นราคาไม่ใช่ถูกๆ เรียกว่าต้องผ่อนกันทั้งชีวิตเหมือนกัน ดังนั้นหากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาเข้าก็จะเป็นที่ลำบากกันทั้งครอบครัว รวมถึงเรื่องการเงินด้วย เพราะว่าปกติแล้วคนญี่ปุ่นไม่ชอบการเป็นหนี้ มีรายได้เท่าไหร่ ต้องคำนวญค่าใช้จ่ายให้เพียงพอ ต่างกับคนรุ่นใหม่ ที่มีการ์ดเงินสด บัตรเครดิตเข้ามา ทำให้เกิดปัญหาภาระหนี้สินกันมากขึ้น ดังนั้นใครคิดว่าจะแต่งงานกับคนญี่ปุ่น ก็อย่าลืมตรวจสอบเรื่องนี้กันด้วยล่ะ เดี๋ยวจะมาเสียใจ หรือเหนื่อยกับการทำงานช่วยกันใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
อาหารการกิน
กินอะไรต้องได้รสนั้น คนญี่ปุ่นต้องการรับรสธรรมชาติของอาหาร ดังนั้นอาหารญี่ปุ่นจึงไม่ต้องปรุงรสกันมาก อาหารดิบ อาหารสดจึงมีให้เห็น ให้กินมากมาย แต่ด้วยปัจจุบันการเร่งรีบ และมีฤดูกาลต่างๆ ทำให้ญี่ปุ่นมีอาหารการกินที่ต่างกันไปในแต่ฤดู จึงทำให้มีอาหารแช่แข็งออกมาจำหน่ายกันมากขึ้น คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่เริ่มคุ้นเคยกับ อาหารแช่แข็ง ไมโครเวฟ อย่างไรก็ตามกินอาหารตามฤดูเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ญี่ปุ่นโดยปกติแล้วเป็นเมืองหนาว การกินอาหารที่เผ็ดร้อนแบบบ้านเราจึงไม่ค่อยดี เพราะว่าความเผ็ดร้อนนั้นได้ระบายความร้อน ออกจากร่างกายจึงทำให้ร่างกายนั้นเย็นลง ทำให้เจ็บป่วยกันได้ง่าย จึงต้องควรระวัง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผัก ผลไม้เมืองร้อน ก็มีจำหน่ายมากขึ้น แต่ด้วยธรรมชาติที่ไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้คุณเจ็บป่วยได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น มะม่วงเป็นพืชเมืองร้อน มีคุณสมบัติให้ความเย็นแก่ร่างกาย เมื่อทานในฤดูหนาวก็ทำให้ลำไส้เย็น เป็นเหตุทำให้ปวดท้องได้ (ผู้เขียนก็เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน) โดยปกติเขากินอะไรกันหรือ เขาก็กินปลาดิบ กุ้ง หอย ดิบ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นอาหารทะเล เพราะว่าประเทศเขาห้อมล้อมด้วยทะเล กินปลาจากแม่น้ำ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็น นิ่ง ต้ม ย่าง ไม่มีแกงแบบบ้านเรา รสส่วนใหญ่ก็จะมาจาก โชยุ (ซีอิ้วญี่ปุ่น ทำมาจากถั่วเหลืองหมัก) เป็นส่วนใหญ่
เพื่อนบ้าน
ญี่ปุ่นนั้น นอกจากจะเป็นประเทศที่โดดเีดี่ยว ประเทศเพื่อนบ้านนั้นก็อยู่ไกลโพ้นทะเล จึงทำให้คนญี่ปุ่นมีลักษณะพิเศษ คือไม่ชอบสุงสิง จะอยู่แบบบ้านใครบ้านมัน แต่ก็คอยฟังข่าวเพื่อนบ้านเหมือนกัน มีนินทา มีกระซิบกระซาบกันบ้าง โดยเฉพาะพวกแม่บ้านนี่แหละ มีการไปมาหากันบ้างแบบผิวเผิน ไม่ค่อยเข้ามาในบ้าน เชิญก็ไม่เข้ามานั่งในบ้าน ได้แต่คุยอยู่แถวประตู แต่ยังคงมีน้ำใจซึ่งกันและกัน มีอะไรมากมายเกินความจำเป็น ก็ถามไถ่หากใครต้องการก็จะเอามาให้ เพราะว่าเกรงใจกลัวเอาภาระขยะไปให้เขา (เนื่องจากญีปุ่นนั้นมีการแยกขยะ และจะต้องไปทิ้งในสถานที่ และวันที่่เขากำหนด บางท้องถี่เขาสามารถเผาขยะเองได้ แต่ก็มีน้อย)
คนต่างชาติในสายตาคนญี่ปุ่นในบ้านนอก
ถ้าเข้าไปในเมือง คนญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยจะสนใจคนต่างชาติมากนัก เพราะเริ่มชินในความรู้สึกเนื่องจากพบเจอบ่อยก็เป็นได้ แต่ในบ้านนอกนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ก็เป็นที่สนใจเสียหมด แต่ก็มีบางคนที่ประเภทใจแคบ คอยดูถูกในสายตา เหมือนเรามาเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากพวกเขาเสียอย่างนั้น (คนแถบเอเชียหลายประเทศ รวมทั้งไทย มาทำอาชีพคนกลางคืนเสียมาก ดังนั้น ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่ตาสีดำ ผมสีดำ ผิวสีดำ จึงถูกดูถูกทั้งในสายตา และในใจ) ดังนั้นเรื่องนี้มันก็เลยต้องทำใจ ทำใจเราให้สงบ เสียให้มากกว่าจึงจะดี มีประโยชน์ต่อตน สำหรับคนไทยในญี่ปุ่นแล้ว ค่อนข้างห่างเหินกันเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม หรือ อาจจะบอกว่า ไปโรมัน ก็ต้องเป็นชาวโรมัน เวลาออกไปข้างนอกคนที่จะคอยส่งยิ้มให้เรา หรือไม่เราก็ส่งยิ้มไป เป็นคนฟิลิปปินส์เสียทุกที น่าเสียดายนิสัยน่ารัก น่ารักของคนไทยจังเลย ดังนั้นเมื่อคุณเป็นคนหนึ่งที่มาที่นี่ อย่าลืมยิ้มสยาม ก็แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น: